วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2555

เงินทอง...ของมีค่า ตอน พิพิธภัณฑ์ธนาคารไทย

วันนี้ดาจะพาไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์กันค่ะ อะ! อะ! อะ! พอเห็นคำว่า"พิพิธภัณฑ์"ก็อย่าเพิ่งสายหน้าหนีกันนะค่ะ เพราะว่ามันไม่น่าเบื่ออย่างที่คิดแน่นอนค่ะ ก่อนจะเที่ยวกันเราไปทำความรู้จักกับพิพิธภัณฑ์แห่งนี้กันก่อนดีกว่าค่ะ


"พิพิธภัณฑ์ธนาคารไทย" หรือว่า "THAI BANK MUSEUM" เป็นพิพิธภัณฑ์ที่จัดตั้งขึ้นโดยธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) มีวัตถุประสงค์ เพื่อจัดแสดงสิ่งของล้ำค่าทางประวัติศาสตร์ด้านการเงินการธนาคารของชาติ ไม่ว่าจะเป็นเอกสารสำคัญต่างๆ รวมไปถึงเครื่องมือเครื่องใช้อันบ่งบอกถึงวิวัฒนาการแห่งความเจริญก้าวหน้าในระบบการเงินการธนาคารของประเทศ สะท้อนให้เห็นภาพในอดีตได้อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นสิ่งล้ำค่า และเป็นของหายากในปัจจุบัน สำหรับเป็นแหล่งค้นคว้าด้านวิชาการ ที่เป็นประโยชน์ต่อคนรุ่นหลัง โดยพิพิธภัณฑ์ธนาคารไทย เริ่มเปิดดำเนินการที่อาคารสำนักงานธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาตลาดน้อย เมื่อปี พ.ศ. 2526 และได้ย้ายมาจัดแสดงที่สำนักงานใหญ่ รัชโยธินเมื่อวันที่ปี พ.ศ. 2539


พิพิธภัณฑ์ธนาคารไทย ตั้งอยู่บนถนนรัชดาภิเษก เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร การเดินทางมาก็ไม่ยากเลยค่ะ มีรถเมล์วิ่งผ่านหลายสาย ไม่ว่าจะเป็น 136 206 หรือจะนั่ง MRT แล้วมาต่อรถเมล์ก็ได้ ตามสะดวกเลยค่ะ เปิดให้เข้าชมได้ฟรีทุกวันจันทร์ - วันศุกร์ (ยกเว้นวันหยุดธนาคาร) เวลา 10.00 - 17.00 น.










เมื่อเข้าไปด้านในพิพิธภัณฑ์ เราจะพบกับส่วนจัดแสดงนิทรรศการ เป็นนิทรรศการหมุนเวียน ซึ่งในขณะนี้เป็นนิทรรศการเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ "สมบัติแผ่นดิน" จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับงาน "ศิลป์แผ่นดิน" และ "โขนมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ"

หลังจากชมนิทรรศการหมุนเวียนแล้ว เมื่อเราเดินขึ้นไปบริเวณชั้นสอง ก็จะพบกับส่วนแรกของพิพิธภัณฑ์ จัดแสดงในเรื่องของ “วิวัฒนาการเงินตรา” ตั้งแต่การแลกเปลี่ยนสินค้าจนเกิดเป็นที่มาของเงินตรา วัสดุที่ใช้ทำเงิน ความแตกต่างของเงินในยุคต่างๆ  โดยจะมีสื่อช่วยในการอธิบายไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ ป้ายนิเทศ ตัวอย่างเงินในสมัยต่างๆ รวมไปถึงเสียงบรรยายประกอบ ( Sound Dome Audio System ) ที่จะมีทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ



ส่วนที่สอง  จัดแสดงในเรื่องของ “วิวัฒนาการธนาคาร” ของไทย โดยเนื้อหาการจัดแสดงออกเป็น  4 ช่วง
 ช่วงที่ 1 แสดงภาพเส้นทางการค้าทางทะเลในสมัยโบราณ ประกอบเทคนิคเสียงคำบรรยาย 2 ภาษา
ช่วงที่ 2 สยามกับการเข้าสู่ระบบธนาคารและวิวัฒนาการธนาคาร โดยใช้เทคนิคการจัดแสดงด้วยจอ LCD Touch Screen ซึ่งเราสามารถมีส่วนร่วมโต้ตอบกับสื่อที่จัดแสดง
ช่วงที่ 3 กล่าวถึงพระประวัติของกรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย พระบิดาแห่งการธนาคารไทย โดยใช้สื่อวีดิทัศน์ เพื่อบอกเล่าเรื่องราว
ช่วงที่ 4 เล่าเรื่องราวของบุคคลัภย์ หรือธนาคารทดลองดำเนินการ ผ่านตัวละครพนักงานบุคคลัภย์ที่มีความสมจริง โดยใช้เทคนิคการจัดแสดงด้วยเทคโนโลยี 3 มิติ เสมือนจริง (Ghost Effect)    





ส่วนที่สาม  จัดแสดงในเรื่องของ “ต้นแบบธนาคารไทย” กล่าวถึงประวัติของธนาคารไทยพาณิชย์ ตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง ไม่ว่าจะเป็นผู้ก่อตั้งธนาคาร พนักงานธนาคาร ตลอดจนถึงข้าวของเครื่องใช้ต่างๆในธนาคาร 






ส่วนสุดท้าย จัดแสดงในเรื่องของ "ไทยพาณิชย์กับการก้าวสู่ยุคปัจจุบัน" 








แหล่งเรียนรู่นี้สามารถนำไปใช้ในการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องเงินทองของมีค่า ในชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เพื่อให้นักเรียนรู้จักความเป็นมาของเงิน และเห็นคุณค่าของเงิน หรือนำไปใช้ในการเรียนการสอนวิชาสังคม เรื่องเศรษฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ในชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น เพื่อให้เห็นถึงความสำคัญของธนาคารกับเศรษฐกิจไทย และประวัติความเป็นมาของธนาคาร




ข้อมูลเพิ่มเติม : http://www.thaibankmuseum.or.th/










วันเสาร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2555

บทบาท ความสำคัญของสื่อนวัตกรรม และ เทคโนโลยีสารสนเทศ

วันนี้จะขอนำเสนอเกี่ยวกับนวัตกรรมการศึกษาและเทคโนโลยีทางการศึกษา แต่ก่อนอื่นเราจะมาทำความรู้จักกับ "นวัตกรรม" และ "เทคโนโลยี" ให้มากขึ้นก่อนแล้วกันค่ะ ^^



     "นวัตกรรม" หมายถึงความคิด การปฏิบัติ หรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ทียังไม่เคยมีใช้มาก่อน หรือเป็นการพัฒนาดัดแปลงมาจากของเดิมที่มีอยู่แล้ว ให้ทันสมัยและใช้ได้ผลดียิ่งขึ้น เมื่อนำนวัตกรรมมาใช้จะช่วยให้การทำงานนั้นได้ผลดี มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม และยังช่วยประหยัดเวลาและแรงงานได้อีกด้วย









     ส่วน "เทคโนโลยี" คือการนำเอาแนวความคิด หลักการ เทคนิค ความรู้ กระบวนการ ตลอดจนผลผลิตทางวิทยาศาสตร์ทั้งในด้านสิ่งประดิษฐ์ และวิธีปฏิบัติมาประยุกต์ใช้ในระบบงาน เพื่อช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการทำงานให้ดียิ่งขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพของงานให้มากยิ่งขึ้น



     ดังนั้นคำว่า "นวัตกรรมการศึกษา" หรือ "Educational Innovation" นั้นจึงหมายถึง นวัตกรรมที่จะช่วยให้การศึกษา และการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ เกิดแรงจูงใจในการเรียน อีกทั้งยังประหยัดเวลาในการเรียนอีกด้วย ตัวอย่างเช่น การเรียนการสอนที่ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน การใช้แผ่นวิดีทัศน์เชิงโต้ตอบ และอินเทอร์เน็ต เป็นต้น


     แล้วเทคโนโลยีทางการศึกษา คืออะไรกัน ???
     "เทคโนโลยีทางการศึกษา" คือการนำความรู้ แนวคิด กระบวนการ
และผลผลิตทางวิทยาศาสตร์มาใช้ร่วมกันอย่างมีระบบ เพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาการศึกษาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นนั้นเอง



     หลายคนคงจะเริ่มสงสัยแล้วใช่ไหมละค่ะ ว่ามันมีความสำคัญกับการศึกษาและมีส่วนช่วยให้การศึกษาดีขึ้นอย่างไร พอจะสรุปได้ดังนี้ค่ะ

     - ทำให้การเรียนการสอนมีความหมาย และมีพลังมากขึ้น ผู้เรียนสามารถเรียนได้กว้างขวาง ได้เห็น ได้สัมผัสสิ่งที่เรียน ทำให้การเรียนการสอนมีความสะดวก และรวดเร็วยิ่งขึ้น อีกทั้งยังทำให้ผู้สอนมีเวลาให้ผู้เรียนมากขึ้นอีกด้วย
     - สามารถตอบสนองในเรื่องของความแตกต่างระหว่างบุคคล ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนได้ตามความสามารถของตน จึงทำให้การเรียนการสอนนั้นตอบสนองความสนใจและความต้องการของแต่ละบุคคลได้
     - ช่วยในการพัฒนาสื่อการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ สะดวกต่อการใช้งานมากยิ่งขึ้น
     - ช่วยเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้มากขึ้น ทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย 



ประเทศไทศในปัจจุบันนั้น เราจะเห็นได้ว่านวัตกรรมการศึกษา และเทคโนโลยีทางการศึกษานั้นเริ่มเข้ามามีบทบาท  และความสำคัญในการเรียนการสอนมากยิ่งขึ้น ดังนั้นครูจึงมีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง ที่นอกจากจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่ตนสอน มีคุณธรรมจริยธรรม เป็นแบบอย่างที่ดีแล้ว ยังต้องมีการพัฒนาตนเองอยู่เสมอ รู้จักปรับใช้สิ่งใหม่ๆ เพื่อให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ และก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้เรียน



อ้างอิง : http://ceit.sut.ac.th/km/wordpress/?p=138
              http://samlee-noknok2.blogspot.com/2011/02/blog-post.html
              http://portal.in.th/natthawadee/pages/3996/

วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Facebook ถูกแฮกเกอร์เจาะข้อมูลกว่า 1.5 ล้านล็อกอิน

ทีมนักวิจัยด้านความปลอดภัยบนอินเตอร์เน็ตเผย ผู้ใช้งานเว็บไซต์ สังคมออนไลน์ชื่อดัง Facebook ถูกแฮกเกอร์จารกรรมข้อมูลกว่า 1.5 ล้านล็อกอินแล้ว


     สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า ทีมนักวิจัยด้านความปลอดภัยในอินเตอร์เน็ต จาก VeriSign iDefense Labs ระบุว่า ชื่อล็อกอินผู้ใช้งาน Facebook กว่า 1.5 ล้านผู้ใช้งาน ถูกแฮกเกอร์ ซึ่งเรียกตัวเองว่า "kirllos" เจาะขโมยพาสเวิร์ด และประกาศขายคืนเจ้าของเดิมในเว็บไซต์ Carder.su ของรัสเซียโดยตั้งราคาล็อกอินตามจำนวนเพื่อน อาทิ หากมีเพื่อน 10 คน จะสนนราคาอยู่ที่ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 25 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 800 บาท) และหากมีเพื่อนมากกว่า 10 คนขึ้นไป ราคาจะเพิ่มเป็น 45 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 1,450 บาท ) และอาจเพิ่มสูงขึ้นมากถึง 1,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 32,300 บาท)

     ริก ฮอเวิร์ด ผู้อำนวยการ VeriSign iDefense Labs กล่าวว่า กรณีขโมยล็อกอินเว็บไซต์สังคมออนไลน์ มาขายอย่างผิดกฎหมาย เกิดขึ้นมากที่สุดในบริเวณทางตะวันออกของยุโรป รวมถึงในสหรัฐฯ ขณะที่โฆษกของสำนักงานดังกล่าวว่า Facebook พยายามขอซื้อข้อมูลจาก "kirllos" กลับคืนมาแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ

     การจารกรรมข้อมูลส่วนตัวทางอินเตอ์เน็ต นับเป็นอาชญากรรมอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งแฮกเกอร์จะจัดการเปลี่ยนพาสเวิร์ดเดิมของผู้ใช้งาน ทำให้เจ้าของตัวจริงไม่สามารถเข้าสู่ระบบใช้งานได้ รวมถึงอาจปล่อยสแปม หรือโปรแกรมอื่นๆ เพื่อทำลาย และก่อกวนระบบ หากเจ้าของต้องการข้อมูลทั้งหมดคืน ต้องมีการแลกเปลี่ยนบางประการ โดยส่วนใหญ่จะเป็นการเรียกเก็บเงิน สำหรับผู้ใช้งานเว็บไซต์สังคมออนไลน์ที่เกรงถูกจารกรรมข้อมูลนั้น สามารถแจ้งได้กับศูนย์ช่วยเหลือ Help Centre ของเว็บไซต์นั้นๆ

แหล่งที่มา : http://oknews.exteen.com/20100505/facebook-1-5



          จากข่าวที่เกิดขี้นข้างต้นจะเห็นได้ว่าการกระทำดังกล่าวมีความผิดตามพ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ในมาตรา 5 7และ 9 ดังนี้

มาตรา ๕ ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะ และมาตรการนั้นมิได้มีไว้สําหรับตน ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

มาตรา ๗ ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะ และมาตรการนั้นมิได้มีไว้สําหรับตน ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ

มาตรา ๙ ผู้ใดทําให้เสียหาย ทําลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกิน หนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ



หลังจากที่อ่านข่าวไปแล้วเพื่อนๆหลายคนที่เป็นผู้ใช้งาน Facebook ก็ควรที่จะใช้สังคมออนไลน์อย่างสร้างสรรค์ ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น ใช้งานอย่างระมัดระวัง รู้เท่าทันเทคโลยี และการเพิ่มความปลอดภัยให้กับ Facebook เบื้องต้นดังนี้
1.ควรเปลี่ยนและตั้งพาสเวิร์ดใหม่อยู่เสมอ และในการตั้งพาสเวิร์ดนั้นควรมีทั้ง ตัวอักษร, ตัวเลข และสัญลักษณ์พิเศษ ปนอยู่ในพาสเวิร์ดด้วย เพื่อให้คาดเดายากขึ้น
                                   
2.ไม่รับแอดบุคคลแปลกหน้าที่ไม่รู้จัก และควรคลิกเข้าไปดูโปรไฟล์ของบุคคลที่มาขอเราเป็นเพื่อนก่อนที่จะรับ

3.ไม่กดรับ Request เกมหรือแอพฯ ใดๆ จากเพื่อน ๆ จนกว่าจะตรวจสอบให้แน่ชัดว่านี่คือเกมจริง ๆ ไม่ใช่สแปม

4.อย่าคลิกลิงก์แปลก ๆ ลิงก์น่าสงสัย ที่อยู่บน Wall ตัวเองหรือของเพื่อน ๆ ให้สันนิษฐานไว้ก่อน
อาจจะเป็นไวรัสได้

แหล่งที่มา : http://facebook.kapook.com/tip_and_technic/facebook_security.php





























วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2555

When you smile ^^


           เคยลองคิดเล่นๆดูไหมค่ะ ว่าทำไมเราถึงยิ้มออกมา อย่างเช่นว่า วันนี้เรารู้สึกสบายใจ รู้สึกว่าวันนี้อากาศดีจัง จะทำอะไรมันก็ดีไปหมด หรือว่าเวลาที่เราได้อยู่กับคนที่รัก เรามักจะยิ้มออกมาใช่ไหมค่ะ แล้วเราเคยยิ้มเพราะเห็นคนอื่นยิ้ม เห็นคนอื่นมีความสุขบ้างไหมค่ะ ทั้งที่บางที่มันไม่ได้เกี่ยวกับเราซะหน่อย แต่มันก็ทำให้เราเผลอยิ้มหรือว่าแอบอมยิ้มอยู่ในใจได้ จะว่าไปมันก็แปลกดีนะค่ะ ซึ่งฉันเองก็ไม่รู้หรอกค่ะ ว่าทำไมมันถึงเป็นอย่างนั้น แต่มันก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกดี ^^


          ฉันชื่อ อรณัฐ  พงศ์ยี่ล่า ค่ะ ชื่อเล่นว่า ฮูดา ที่หมายถึงแนวทางของพระเจ้า ชื่อนี้ป้าเป็นคนตั้งให้ ป้าบอกว่าเป็นชื่อของนักกีฬาว่ายน้ำของประเทศมาเลเซียที่ดังมากในสมัยนั้น ซึ่งฉันเองก็ไม่รู้จักหรอกค่ะ แต่จะเรียกกันให้สั้นกว่านั้นว่า ดา ก็ได้นะค่ะ ดาเกิดวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2535 หรือว่าวันปีใหม่ของปี 2535 นั้นแหละค่ะ ตอนเด็กๆ ดาเป็นคนที่ซนและซุ่มซ่ามมาก ชอบปีนป่ายเป็นลิงเลยทีเดียว ก็เลยได้แผลมาเยอะพอสมควร แต่ที่หนักที่สุดก็คงเพราะความซุ่มซ่าม ลื่นล้มในห้องน้ำ คางแตกจนต้องให้หมอเย็บ ก็โดนไปหลายเข็มเลยละ แต่ความซุ่มซ่ามมันก็ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะว่าเมื่อแผลเก่าหายดีแล้วก็ยังไปสะดุดเชือกที่เขาผูกไว้ค้ำต้นไม้ไม่ให้มันล้มจนคางแตกอีกรอบ แต่ไม่หนักเท่าครั้งก่อน หลังจากนั้นแม่เลยให้ไปเรียนรำไทย เพื่อจะได้ลดระดับความซนลงมาบ้าง แต่ความซุ่มซ่ามยังคงอยู่ 555



          ดาเป็นคนนครศรีธรรมราชค่ะ พ่อดาลาออกจากราชการมาเลี้ยงไก่ไข่เป็นหลัก นอกจากนี้ก็ยังเลี้ยงปลา เลี้ยงเป็ด เลี้ยงแพะ แล้วก็เพาะพันธุ์ปาล์ม ส่วนแม่รับราชการ อยู่ที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครศรีธรรมราชเขต 1 ดาเป็นลูกคนโตของพ่อกับแม่ มีน้องสาว 1 คน และน้องชายอีก 1 คน ดากับน้องรักกันมาก เชื่อไหมค่ะ ถ้าไม่เชื่อจะเล่าให้ฟังว่ารักกันยังไง ตอนช่วงที่ดาอยู่มอต้น น้องสาวดาเป็นอีสุกอีใสค่ะ แม่ก็เลยให้น้องนอนคนเดียว ทั้งที่ปกติแล้วจะนอนห้องเดียวกับดา และด้วยความที่น้องกลัวผี ก็เลยชวนดามานอนด้วยกัน ด้วยความรักน้องค่ะ ก็เลยไม่ปฏิเสธ มานอนด้วยกันกับน้อง วันรุ่งขึ้นกลายเป็นว่าดาเป็นอีสุกอีใสด้วย แค่นั้นยังไม่พอ คืนต่อมาดากับน้องสาวก็เลยชวยน้องคนเล็กมานอนด้วยกัน  สรุปก็คือ เป็นด้วยกันทั้งสามคนเลยค่ะ ทีนี้เชื่อหรือยังละค่ะ ว่าเรารักกันมาก


          นอกจากนี้ดายังสนิทกับญาติๆ ทางฝ่ายแม่มาก เพราะเจอกันบ่อย แล้วก็เป็นครอบครัวที่ลุยๆค่ะ ไม่ว่าจะเป็นขึ้นเขา เข้าป่า ลุยโคลนได้หมด แถมยังชอบแกล้ง ชอบอำกันมาก ใครนอนตื่นสายไม่ได้เลยค่ะ เพราะว่าต้องโดนแกล้งแน่นอน เวลามารวมตัวกันที่ก็จะเยอะมาก เพราะพี่น้องแม่มีกัน 11 คน ถ้ารวมบรรดาหลานเหลนด้วยแล้วก็ประมาณ 40 คนเลยทีเดียว วุ่นวายมากทีเดียว แต่ก็สนุกและมีความสุขมากค่ะ อีกอย่างบรรดาป้าๆและแม่ ทำอาหารอร่อยมาก เวลามีงานบุญก็ไม่เคยไปจ้างคนอื่นทำ จะทำกันเองทุกอย่าง โดยมีลูกๆหลานๆนี้แหละค่ะเป็นลูกมือให้ นอกจากจะสร้างความอบอุ่นภายในครอบครัว และความอิ่มอร่อย โดยต้องเสียเงินเยอะแล้ว ยังได้สอนลูกหลานให้ทำงานเป็นอีกด้วย




         มาว่ากันด้วยเรื่องการศึกษา ดาเรียนอนุบาลและประถมที่โรงเรียนอนุบาลนครศรีธรรมราช " ณ นครอุทิศ " โรงเรียนเล็กๆ ที่เดินไม่มีก้าวก็รอบโรงเรียนแล้ว แต่อยู่ใจกลางเมือง และเรียนชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัดนครศรีธรรมราช โรงเรียนที่ใหญ่มาก ที่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่เคยเดินรอบโรงเรียน แต่ว่าอยู่ชานเมือง ต้นไม้เยอะมาก ถึงแม้ตอนนี้มันจะน้อยลงไปบ้าง มีสระน้ำที่นักเรียนส่วนใหญ่เรียกว่า สระชาเขียว เพราะน้ำในสระมีสีเขียว ซึ่งนักเรียนจะชอบมานั่งให้อาหารปลากัน มีคุณครูที่ดี เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่น่ารัก โรงเรียนแห่งนี้จึงเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความสุข มิตรภาพ น้ำตา รอยยิ้ม ความทรงจำดี และประสบการณ์ดีๆ


          ตอนนี้ดาเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยศรีนคริทรวิโรฒ คณะวิทยาศาสตร์ เอกคณิตศาสตร์ (กศ.บ.) เวลาเพื่อนถามว่าดาเรียนที่ไหน เพื่อนก็เป็นอันต้องงงค่ะ เพราะว่าดาจบมอปลาย แผนศิลป์ - คำนวนมา แต่เรียนคณะวิทย์ แล้วยังบอกว่าเรียนครูคณิตอีก เพื่อนเลยยิ่งงงกันไปใหญ่ อย่าว่าแต่เพื่อนเลยค่ะ ตอนดาลงแอดมิดชั่น ดาเองก็งงค่ะ แต่ก็แอบดีใจ ที่ไม่ได้เรียนแผนวิทย์มา แต่สามารถเรียนครูคณิตที่นี้ได้ ตอนนี้ดาเรียนอยู่ปี 3 เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก แต่กว่าจะผ่านมาได้ก็เล่นเอาเหนื่อยหนักเลยทีเดียว โชคดีที่มีเพื่อนๆ พี่ๆ และครอบครัวที่คอยดูแล เทคแคร์ ให้กำลังใจและช่วยเหลือกันมาตลอดค่ะ




          ดาจะเป็นคนที่เงียบๆ และไม่ค่อยคุยกับคนที่ไม่สนิท เจอกันแรกๆ อาจจะดูเรียบร้อย แต่จริงๆ ไม่ใช่อย่างที่เห็นหรอกค่ะ เป็นคนที่ไม่ค่อยโกรธ นอกจากเบื่อ เซ็งแล้ว ก็จะอารมณ์ดีตลอด ดาเป็นคนชอบอ่านหนังสือ บอกไม่ได้เหมือนกันว่าเป็นหนังสือแบบไหน คือถ้าเห็นว่าเล่มไหนน่าสนใจ น่าอ่าน ก็อ่านเล่มนั้น ยกเว้นหนังสือเรียนนะค่ะ แต่ถ้าถามว่าชอบนักเขียนคนไหนเป็นพิเศษ บอกได้เลยค่ะ ว่านิ้วกลม หรือว่าพี่เอ๋ สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ ถ้าอยากรู้ว่านิ้วกลมมีดียังไง ต้องลองหาหนังสือของเขามาอ่านดูค่ะ  




          หลังจากอ่านบทความนี้แล้ว เราคงรู้จักกันมากขึ้น ดาหวังว่าทุกคนที่ได้เข้ามาอ่าน จะอ่านไป ยิ้มไป เหมือนที่ดาเขียนไป ยิ้มไปนะค่ะ และขอให้ทุกคนมีความสุขกับการใช้ชีวิตค่ะ สู้ๆ เข้าไว้นะค่ะ เมื่อเราผ่านมันมาได้ ดาเชื่อว่าต่อให้เรากลับไปนึกถึงมันอีกกี่ครั้ง เราก็ยังยิ้มได้ค่ะ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรานั้น คือสิ่งที่ทำให้เราเป็นเราได้ในทุกวันนี้ค่ะ


         ขอฝากทิ้งท้ายไว้อีกนิดว่า " ถ้าวันไหนเรารู้สึกว่าเราไม่มีความสุข ลองเปลี่ยนมุมมองของตัวเองดูนะค่ะ บางทีความสุขมันอยู่ใกล้ๆเรานี้แหละ เพียงแค่เราไม่เคยจะมองเห็นซะที " ลองดูนะค่ะ